简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:Metamask เริ่มเก็บ IP Address และที่อยู่กระเป๋าเงินของผู้ใช้งาน !
MetaMask ประกาศจะเก็บ IP Address ของผู้ใช้งาน ทำให้แอปสามารถเข้าถึงที่อยู่ของผู้ใช้งานได้ ซึ่งการอัพเดทนโยบายใหม่นี้ ทำเอาผู้ใช้งานเกิดความกังวลเกี่ยวกับสิ่งนี้ เพราะนี่อาจเป็นการคุกคามความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน
ตามข้อตกลงนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) ที่เผยแพร่โดย ConsenSys เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา ระบุว่า MetaMask นั้นจะเริ่มเก็บข้อมูล IP ของผู้ใช้และที่อยู่กระเป๋าเงิน Ethereum ของผู้ใช้ระหว่างการทำธุรกรรมบนเครือข่าย
MetaMask คือหนึ่งในกระเป๋าเงินดิจิทัลส่วนบุคคลที่เป็นนิยมมากในตลาด เพราะสามารถเชื่อมต่อกับเว็บต่าง ๆ ได้ การทำธุรกรรมออนไลน์จึงสะดวก รวดเร็ว
ตามข้อมูลจาก ConsenSys เผยว่าข้อมูลดังกล่าวที่จัดเก็บนั้นอาจมีการเปิดเผยไปยังสมาชิกในเครือ (Affiliate) ระหว่างการตกลงเชิงธุรกิจ หรือว่าจำเป็นต้องใช้เพื่อดำเนินการตามกฎระเบียบ Know Your Customer และกฎระเบียบการป้องกันการฟอกเงินที่มีการบังคับใช้ทางกฎหมาย
ConsenSys ได้อธิบายว่าการเก็บข้อมูลของผู้ใช้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาใช้ Infura แอป Remote Procedure Call (RPC) ตามค่าตั้งต้น (Default) ของ MetaMask ซึ่งผู้ใช้ Ethereum Node ตัวเอง หรือผู้ให้บริการ 3rd party RPC อื่น ๆ นั้นจะไม่อยู่ภายใต้นโยบายความเป็นส่วนตัวของ ConsenSys ที่ปรับปรุงใหม่ และให้ใช้ข้อกำหนดของผู้ให้บริการ RPC รายอื่นแทน
หลังจาก ConsenSys ประกาศเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายในครั้งนี้ออกมา ดูเหมือนจะเกิดความเห็นเชิงลบ ด้วยความคิดที่มองว่าควรจะต้องทำให้เป็นแบบนิรนาม (Anonymous) มากกว่า คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ConsenSys จะมีท่าทีในเรื่องนี้อย่างไร แต่ที่เห็นได้ชัดคือผู้ใช้งานส่วนใหญ่ต้องการความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน
ที่มา : cointelegraph
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
รีวิวโบรกเกอร์
รีวิวโบรกเกอร์
บทความนี้เปรียบเทียบบิทคอยน์และทองคำในฐานะสินทรัพย์เพื่อการลงทุน โดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในด้านจำนวนจำกัด ความสามารถในการเก็บมูลค่า ความปลอดภัย และความคล่องตัวในการเคลื่อนย้าย ทั้งสองสินทรัพย์มีบทบาทในการป้องกันความเสี่ยงและตอบโจทย์นักลงทุนในลักษณะที่ต่างกัน — บิทคอยน์เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงและสนใจเทคโนโลยีใหม่ ส่วนทองคำเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคงระยะยาว บทสรุปเสนอแนวทาง “กระจายการลงทุน” ถือทั้งสองสินทรัพย์ตามสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างโอกาสและความปลอดภัยในพอร์ตลงทุน
บทความนี้เล่าเรื่องราวของ Jordan Belfort หรือที่รู้จักกันในชื่อ “The Wolf of Wall Street” ผู้เริ่มต้นจากเซลล์แมนธรรมดาสู่การเป็นเจ้าพ่อแห่งโลกการเงิน ผ่านการก่อตั้งบริษัท Stratton Oakmont ซึ่งใช้กลยุทธ์หลอกลวงนักลงทุนด้วยแผน “Pump and Dump” ทำให้เขาสะสมทรัพย์สินมหาศาลอย่างรวดเร็ว บทความยังกล่าวถึงชีวิตสุดเหวี่ยงของเขาที่เต็มไปด้วยยาเสพติดและฟุ่มเฟือย ก่อนจะถูก FBI จับกุมและต้องชดใช้ความเสียหายกว่า 110 ล้านดอลลาร์ หลังพ้นโทษ Belfortกลับมาในบทบาทนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ แม้ยังเป็นที่ถกเถียงถึงแรงจูงใจที่แท้จริง บทความจบด้วยบทเรียนสำคัญที่นักลงทุนควรระลึกไว้เกี่ยวกับความโลภ ความเชื่อมั่นเกินจริง และอันตรายของการลงทุนโดยไม่ตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้าน